ชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะ
คำเทศนาอธิบาย 2 โครินธ์ 12:9
โดย อ.อิริค ชาง
“เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น”
ให้เราดูพระคำของพระเจ้าตอนที่สำคัญมากจาก 2 โครินธ์ 12:7-10
“ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้งเพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า ‘การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น’ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้น ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น”
จงสังเกตทุกคำ ถ้าคุณดูอย่างละเอียด คุณจะเห็นว่าพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดซึ่งไม่ได้พูดเกินจริง
คุณเคยรู้สึกว่าความอ่อนแอของคุณเป็นเรื่องที่น่าอวดบ้างไหม เมื่อไรหรือที่คุณเคยคิดว่าปัญหา อุปสรรค ความยากลำบาก และการถูกข่มเหงเป็นสิ่งที่ควรจะชื่นชมยินดี
เป็นคริสเตียนแบบไหน
เราอยู่ในยุคที่คริสเตียนถูกสอนว่าเมื่อไม่มีปัญหา เมื่อทุกสิ่งราบรื่น นั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงอวยพรคุณ แต่เปาโลกลับพูดถึงความลำบาก ความทุกข์ยาก และความน่าอับอายสารพัดที่โถมเข้ามาว่าเป็นสิ่งที่เขาชื่นชมยินดีที่จะอวด คริสเตียนแบบนี้อธิบายให้เห็นว่าเป็นคริสเตียนที่มีชัยชนะ ไม่มีวันพ่ายแพ้ คริสเตียนแบบนี้หาได้ยากในปัจจุบัน
คำสอนที่เราจะได้ยินกันในอเมริกาเหนือและทุกที่ทั่วไปว่า ถ้าคุณมีความทุกข์ยากและลำบากนั้นมันไม่ได้มาจากพระเจ้า ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้คุณเป็นคนยากจน ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ความเจ็บป่วยทุกอย่างจะต้องรักษาให้หาย ความยากจนทุกอย่างจะหมดไป ถ้าคุณต้องจนลงก็แสดงว่าคุณไม่มีความเชื่อ และถ้าคุณมีความเชื่อคุณก็ขอรถเบนซ์ รถโรลส์รอยซ์ได้ ถ้าคุณไม่ได้รับก็หมายความว่าคุณไม่มีความเชื่อ นั่นคือความเชื่อของคริสเตียนที่สอนกันทั่วโลก
ความเชื่อของคริสเตียนเป็นอย่างที่กล่าวมานี้หรือ คุณคงจะเริ่มสงสัยว่าคุณได้อ่านพระคัมภีร์เล่มเดียวกันกับเปาโลหรือเปล่า ถ้าเปาโลได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้เขาก็คงจะสงสัยเช่นกันว่ามีใครได้เข้าใจสิ่งที่เขาเขียนไหม
ชีวิตคริสเตียนของคุณเป็นชีวิตที่มีชัยชนะไหม
วันนี้ผมจะพูดถึงสิ่งที่สำคัญมาก คือเนื้อแท้และลักษณะที่แท้จริงของการเป็นคริสเตียน ชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะคืออะไร คุณดำเนินชีวิตอย่างนั้นไหม อะไรเป็นเคล็ดลับของการมีกำลัง คุณมีกำลังฝ่ายวิญญาณในชีวิตของคุณไหม ชีวิตฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร ถ้าผมขอให้คุณอธิบายคุณจะรู้ไหมว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณคืออะไร คำถามเหล่านั้นสำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีกำลังฝ่ายวิญญาณแล้วเราก็ไม่สามารถจะดำเนินชีวิตคริสเตียนได้
เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น
ผมอยากดึงความสนใจของคุณไปที่ 2 โครินธ์ 12:10 “เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” จงสังเกตแต่ละคำเหล่านี้ ประโยคนี้มีสองส่วน ส่วนหลังมีว่า “ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็ง” คุณเข้มแข็งไหม คุณรู้สึกเข้มแข็งหรือไม่ ในอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณเห็นว่าคุณมีกำลังรับมือกับปัญหาทั้งหมดที่คุณต้องเผชิญไหม เมื่อเราดูที่ประโยคเราอยากจะเน้นในส่วนหลังใช่ไหม “ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็ง” นั่นเป็นส่วนที่เราสนใจ
คุณอาจนึกถึงพระคัมภีร์ตอนคล้ายๆกันที่อัครทูตเปาโลใช้ เช่นฟิลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”[1] ช่างเป็นชีวิตคริสเตียนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ “ข้าพเจ้าจะทำสิ่งใดก็ได้” เปาโลมีกำลังทนทานที่จะยืนหยัดต่อความยากลำบาก คุณจะสาดอะไรให้เปาโลก็ได้เขาก็ยังคงเข้มแข็งอยู่ตลอด เปาโลเป็นคริสเตียนขนานแท้ แล้วตัวคุณกับผมล่ะ เราเจอปัญหาเล็กๆก็ท้อแล้ว ส่วนที่น่าเศร้าก็คือว่าชีวิตนี้เต็มไปด้วยปัญหาเสียเหลือเกิน จึงเป็นผลตามมาว่าเรามักจะท้อแท้เสียส่วนใหญ่ เราจะมีกำลังขึ้นเมื่อไร อาจเมื่อตอนมาคริสตจักร ดังนั้นเราจะท้อแท้ไปหกวันและในวันที่เจ็ดเราก็อาจจะรวบรวมกำลังที่มีอยู่น้อยให้มีแรงขึ้นมาได้บ้าง แต่กับกำลังในระดับนี้ ก็จะไม่เพียงพออยู่เรื่อยไป เป็นการขาดดุลอย่างไม่รู้จบ ผมกลัวว่าการขาดดุลเช่นนี้จะทำให้ล้มละลายฝ่ายวิญญาณได้
เปาโลโอ้อวดอะไร
ความทนทานของเปาโลนั้นน่าอัศจรรย์ใจ คุณก็ลองอ่านสิ่งที่เขาเผชิญมากมายใน 2 โครินธ์ 11:22-30 ดู คุณสังเกตสิ่งที่เปาโลเห็นว่ามีค่าที่จะโอ้อวดไหม นี่คือบุคคลที่แข็งแกร่งจริงๆ คุณดูซิว่าในสิ่งที่เปาโลเผชิญนั้นมีอะไรบ้างที่คุณทนได้ เขาเผชิญภัยเรือแตกถึงสามครั้ง ต้องลอยคออยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่หนาวเย็น คุณอยากลองแบบนั้นบ้างไหม คุณอาจคิดว่าเปาโลคงจะว่ายน้ำเก่งเมื่อเรือแตกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ในเมื่อคุณว่ายน้ำไม่เป็นพระเจ้าคงไม่ทดสอบคุณแบบนี้ใช่ไหม
ถ้าคุณออกไปเป็นมิชชันนารีรับใช้พระเจ้า ทำงานประกาศเต็มเวลา คุณคงจะคิดสิว่าพระเจ้าจะปูทางอย่างดีให้คุณ แต่มาดูว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้าง พระองค์อนุญาตให้เรือของคุณอับปาง คุณอาจแย้งว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ไม่ควรทำแบบนี้กับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์จะว่ายน้ำได้หรือไม่ได้นั้นไม่สำคัญ แต่ที่ให้ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องลอยคออยู่กลางทะเลอย่างนั้นไม่ใช่วิถีที่พระองค์จะทรงทำกับผู้รับใช้แน่ แต่ถ้าพระองค์ให้เกิดกับข้าพระองค์สักครั้งละก็ ข้าพระองค์ก็ยังยกโทษให้พระองค์ได้ แต่ตั้งสามครั้งนั้นข้าพระองค์รับไม่ไหว แค่ครั้งเดียวก็แย่แล้ว แต่สามครั้งข้าพระองค์รับไม่ไหว ไม่ใช่แค่พระคัมภีร์ที่เปียกและเสีย โน้ตเตรียมเทศนาก็จมหายหมด ข้าพระองค์จำสิ่งที่จะต้องเทศน์ไม่ได้เลย”
ผมหวั่นใจเหลือเกินว่าความเชื่อในการเป็นคริสเตียนของคุณแข็งแรงพอจะรับมือกับสิ่งนี้ไหม ผมคิดว่าความเชื่อของคุณรับมือไม่ได้แน่ ถ้าความเชื่อในการเป็นคริสเตียนของคุณยังเป็นในแบบที่พระเจ้าจะไม่ให้สิ่งร้ายๆเกิดขึ้นกับคุณแม้แต่อย่างเดียว “ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พร้อมที่จะออกไปเทศนาสั่งสอนพระคำของพระองค์ พระองค์จะต้องปูพรมให้ข้าพระองค์แน่ๆ ใช่ไหม พระเจ้าข้า” แต่เกิดอะไรขึ้นหรือ ไฟก็ดับ ลิฟท์ก็ค้าง ต้องเสียเวลาพยายามให้มันลงให้ได้แต่ไม่ได้ผล คุณจึงต้องวิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดหลายชั้น เมื่อมาถึงชั้นล่างปรากฏว่ารถเมล์คันที่จะขึ้นเพิ่งออกไป ดูอะไรๆก็ไม่เป็นใจไปหมด พระเจ้าคงจะไม่ทำอย่างนี้กับผู้รับใช้ของพระองค์แน่ๆ
คุณเจอแค่สองสามปัญหาก็พูดแล้วว่า “พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์จึงทำกับข้าพระองค์อย่างนี้” นี่เป็นเหตุผลที่ผมพูดว่าคุณจะต้องเข้าใจเนื้อแท้ของการเป็นคริสเตียน คุณอาจจะโตมากับการถูกสอนว่า ตราบใดที่คุณยังอยู่ในศูนย์กลางของน้ำพระทัยของพระเจ้า ทุกๆสิ่งก็จะราบรื่น พระองค์อาจไม่ได้ปูทางของคุณด้วยกลีบกุหลาบ แต่อย่างน้อยพระองค์ก็จะไม่ให้มีหนามมากจนเกินไป
เมื่อเปาโลเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ใน 2 โครินธ์ 11 เปาโลมีจุดประสงค์อะไร เขาเขียนเพื่อบ่นว่าพระเจ้าหรือ เขาเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อพิสูจน์กับชาวโครินธ์ว่าเขาเป็นผู้รับใช้แท้ของพระเจ้า (ข้อ 23) นี่เป็นความเกี่ยวพันกันของส่วนแรกกับส่วนหลังของ 2 โครินธ์ 11 เปาโลกำลังบอกว่า “คนเหล่านั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าหรือ ข้าพเจ้าเป็นยิ่งกว่าเสียอีก แล้วมีหลักฐานอะไรล่ะ ก็ที่เรือของข้าพเจ้าแตก” ยอดไปเลยใช่ไหม เมื่อเรือของพวกเขาไม่แตกฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่ผู้รับใช้แท้ของพระเจ้า นั่นเป็นเหตุผลหรือ ผมกำลังพูดติดตลกหรือ คุณลองอ่านและดูว่ามีอะไรอย่างอื่นที่เกี่ยวพันกัน
เรียนที่จะเดินกับพระเจ้า
ในการเดินกับพระเจ้านั้นผมเจอสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอยู่บ่อยๆ ผมเป็นคนอ่านหนังสือพอสมควร อ่านเกือบทุกวันไม่เคยขาด หนังสือส่วนใหญ่ที่อ่านจะเป็นแนวศาสนศาสตร์ แต่แม้กับสิ่งที่ผมอ่านนั้นก็น่าอัศจรรย์ใจกับการนำของพระองค์ทุกครั้ง ผมไม่ได้ใช้วิธีหยิบหนังสือเล่มไหนก็ได้ขึ้นมาสักเล่มแล้วก็ลงมืออ่าน แต่ผมจะพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์อยากให้ข้าพระองค์อ่านอะไรเป็นเล่มต่อไป” หนังสือเหล่านี้ไม่ใช่หนังสือเข้าเฝ้าพระเจ้าประจำวัน แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับศาสนศาสตร์ที่มีการตีความพระคัมภีร์
ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งมาสองอาทิตย์และอ่านมาถึงตอนสุดท้ายเมื่อคืนนี้ เมื่อผมเปิดหน้าต่อไปผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันเป็นหัวข้อเดียวกับที่ผมจะสอนในวันนี้ คือเรื่องข้อพิสูจน์คุณสมบัติในการเป็นอัครทูตของเปาโล ซึ่งอ้างอิงพระคัมภีร์ตอนเดียวกันกับของผมในสมุดจดที่เขียนเอาไว้ห้าอาทิตย์กว่าแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมที่ผู้เขียนพูดอย่างเดียวกันกับที่ผมกำลังพูดอยู่นี้
ข้อพิสูจน์การเป็นอัครทูต
เปาโลพูดถึงความยากลำบาก การถูกโบยตี ถูกหินขว้างให้ตายว่าเป็นสิ่งพิสูจน์การเป็นอัครทูตแท้ นั่นเป็นเรื่องน่าแปลกใจ ในพระคัมภีร์ตอนนั้นเปาโลไม่ได้อ้างถึงนิมิตที่เกิดกับเขาบนถนนไปดามัสกัส เมื่อเขียนถึงชาวโครินธ์ เปาโลได้ประกาศตัวเองว่าเป็นอัครทูตแท้แบบตรงกันข้ามกับคนอื่นๆที่ประกาศตัวพวกเขาเองว่าเป็นอัครทูตแท้ โดยชี้ว่าพวกเขาควรรู้ว่าเปาโลเป็นอัครทูตแท้ ที่เห็นได้ชัดจากการทนทุกข์เพื่อข่าวประเสริฐ ด้วยการถูกหินขว้างให้ตาย ถูกโบยตี และเรือแตก
เมื่อเปาโลออกไปสั่งสอน เขาไม่ได้คาดหวังให้พระเจ้าทรงยั้งใจของคนไม่ให้ขว้างหรือโบยตีเขา บางครั้งมันน่าแปลก ที่ผมได้ยินคนพูดหรือได้อ่านคำพยานในนิตยสารคริสเตียนว่าสิ่งที่พิสูจน์ความดีของพระเจ้าต่อพวกเขาก็คือ ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปถึง พระเจ้าก็เตรียมใจของบรรดาผู้ฟังเอาไว้แล้ว คนเหล่านั้นตอบรับอย่างดี แม้ในตอนแรกๆ จะมีการต่อต้าน แต่เมื่อพวกเขาไปถึงใจของคนเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป แน่ทีเดียวว่าการตอบรับจากฝ่ายผู้ฟังนั้นบางครั้งก็เป็นข้อพิสูจน์การที่พระเจ้าทำงานในใจของมนุษย์ แต่เราได้ทำความเข้าใจความจริงไหมว่าการต่อต้านอย่างรุนแรงต่อคำสอนนั้นมักจะเป็นข้อพิสูจน์ที่แน่นอนที่สุดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานอย่างมากในใจของผู้ฟัง ที่ให้เขาสำนึกบาปและต้องกลับมาหาพระเจ้าเพื่อจะได้รอด (อย่างเช่นในกิจการ 7)
เปาโลที่น่าสงสารได้ถูกหินขว้าง และมีครั้งหนึ่งถูกทิ้งไว้ให้ตาย เขาถูกหินขว้างอย่างสาหัสจนเลือดท่วมตัว เขาถูกขว้างจนหมดสติอยู่ตรงนั้นจนพวกเขาคิดว่าเปาโลตายแล้ว ถ้าคุณได้เห็นใบหน้าของอัครทูตคนนี้ คุณคงจะได้เห็นใบหน้าที่เต็มด้วยรอยแผลจากสิ่งต่างๆที่เขาได้ทุกข์ทรมานมา และรอยแผลเหล่านี้เปาโลกล่าวถึงว่าเป็น “เครื่องหมายความตายของพระเยซูไว้ที่กายของเรา” (2 โครินธ์ 4:10) เปาโลไม่ได้การต้อนรับที่อบอุ่นเสมอไป
และเปาโลต้องถูกเฆี่ยนกี่ครั้ง แต่ละครั้งเขาจะถูกหวดด้วยแส้ที่กลางหลังถึง 39 ที แส้ที่หวดแต่ละทีนั้นแรงจนหนังหลุดออกมา เมื่อหวดถึงทีที่สี่ที่ห้าล่ะจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่นี่เขาต้องถูกหวดถึง 40 ที ได้ลดไป 1 ทีตามกฎหมายของชาวยิว คุณจะทนกับการถูกโบยตีอย่างนี้ได้ไหม ไม่ต้องให้ถึงห้าทีหรอก หลังของเปาโลจะอยู่ในสภาพไหน ผู้ฟังรับเขาอย่างดีหรือ
คุณอาจคิดว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานผ่านเปาโลแล้วฤทธิ์เดชในคำสอนจะทำให้ผู้ฟังสำนึกบาปแน่ๆ พวกเขาคงต้องคุกเข่าลงและกลับใจใหม่ แล้วเมื่อสเทเฟนเทศนาพระวจนะด้วยฤทธิ์เดชในกิจการ 7 เขาก็ถูกหินขว้างตาย ทำไมพระเจ้าจึงไม่ปกป้องผู้รับใช้ที่มีค่ายิ่งของพระองค์คนนี้ แต่กลับปล่อยให้เขาถูกหินขว้างจนตาย
คุณกล้าออกไปเทศนาสั่งสอนพระกิตติคุณไหม อย่าคิดว่าพระเจ้าจะทรงปูพรมให้คุณ พระองค์จะไม่ทำอย่างนั้น จะมีก็บางครั้งแต่ก็น้อยมากที่พระองค์จะปูทางให้อย่างที่คุณก็เห็นในพระคัมภีร์
เข้าใจลักษณะที่แท้จริงของชีวิตคริสเตียน
ถ้าคุณไม่เข้าใจลักษณะที่แท้จริงของชีวิตคริสเตียน คุณก็จะไปไม่รอด เปาโลไม่ได้บ่นในเรื่องเหล่านี้เลย เขากลับอวดมันและชื่นชมยินดีกับความทุกข์ยากของเขา เขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาจะต้องเป็นซุปเปอร์แมนฝ่ายวิญญาณแน่เลยจึงทนทานสิ่งเหล่านี้ได้
คุณอาจบอกผมว่า “ผมเข้าใจประเด็นของคุณ ไม่ต้องเตือน เข้าใจแล้ว” การเป็นคริสเตียนนั้นเราต้องสามารถจะทนทานได้ แต่อัครทูตเปาโลเป็นซุปเปอร์แมน ส่วนผมไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ผมทำไม่ได้ ให้คนแกร่งกล้าอย่างซุปเปอร์แมนทนสิ่งเหล่านี้ไปเถอะ”
แล้วคุณอยากเป็นซุปเปอร์แมนไหม
เปาโลเป็นซุปเปอร์แมนไหม
เปาโลเป็นซุปเปอร์แมนไหม เราอ่านพบในโรม 8:37ว่า พระเจ้าทรงให้เราเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัย นี่คือภาพ“ฝัน”ของชีวิตคริสเตียนที่จะเป็น “ยิ่งกว่าผู้มีชัย” แต่พวกเราส่วนมากพอใจอยู่กับการเป็นผู้มีชัย ไม่ต้องการจะเป็น “ยิ่งกว่า” เรื่องเป็น “ยิ่งกว่า” นั้นไม่เป็นไรเลย เราจะไม่สามารถมีประสบการณ์ที่เป็น “ยิ่งกว่า” ว่ามันเป็นอย่างไร แค่มีประสบการณ์กับที่มีชัยชนะก็ยุ่งยากพอแล้ว
ในการชกมวยนั้น บางครั้งคู่ต่อสู้ทั้งสองซัดอีกฝ่ายจนมีรอยฟกช้ำดำเขียวพอๆกัน ทำให้ผู้ตัดสินตัดสินยากว่าจะให้ใครชนะคะแนน แต่เมื่อมีคู่ชกที่คว่ำคู่ต่อสู้อย่างชัดๆ ที่ผู้แพ้ลงไปนอนกองกับพื้นเวทีให้กรรมการนับ ผู้ชนะแบบน็อกคู่ต่อสู้คนนี้คือตัวอย่างของการเป็น “ยิ่งกว่าผู้มีชัย”
ดังนั้นเมื่อเปาโลพูดถึง “เป็นยิ่งกว่าผู้มีชัย” เปาโลไม่ได้หมายถึงว่าแค่คุณเอาชนะคะแนนคู่ต่อสู้ แต่คุณต้องชนะแบบยังมีกำลังเหลืออยู่ นี่จึงดูเหมือนว่าเปาโลกำลังพูดค่อนไปทางการเป็นคริสเตียนแบบซุปเปอร์แมน ควรเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ แต่คริสเตียนส่วนมากไม่ได้มีประสบการณ์เช่นนั้น
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณไม่เคยมีประสบการณ์ที่ยังมีกำลังเหลืออยู่ คุณก็จะท้อและผิดหวัง สิ่งอันตรายมากที่ตามมาก็คือรู้สึกผิด คุณจะเริ่มมีคำถามอย่างเช่น “ผมบังเกิดใหม่หรือเปล่านี่ ผมอ่านในพระคัมภีร์บอกว่า เราจะเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัย แต่ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทำไมล่ะ” คุณเป็นอย่างนี้ไหม
เมื่อคุณหันไปมองพี่น้องคนอื่นๆ แล้วคิดว่า เราเป็นคนเดียวที่ถูกตีหรือนี่ ไม่นานหรอกคุณจะพบว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีสภาพที่ดีไปกว่าคุณ พวกเขาเองก็ฟกช้ำดำเขียว พวกเขาก็ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนด้วย คุณยังกวาดสายตาดูอีกว่ามียอดมนุษย์อยู่แถวนั้นหรือเปล่า แล้วพวกศิษยาภิบาลและพวกผู้นำคริสตจักรล่ะ แม้แต่พวกเขาก็ดูอ่อนแอเรื่องนี้บ้างเรื่องนั้นบ้าง ซุปเปอร์แมนพวกนี้ทำผิดด้วยไหม พวกเขาอาจจะดีกว่าเราสักหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนแน่ๆ
เรากำลังต่อสู้กับสงครามที่รู้อยู่ว่าจะพ่ายแพ้หรือ
ตอนนี้คุณมีปัญหา คุณเริ่มเห็นความเป็นจริง คุณเริ่มถากถาง เมื่อมันเลวร้ายลง คุณก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง คุณอาจสรุปเอาว่าชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่ไม่สามารถดำเนินตามนั้นได้ แม้แต่ผู้นำในคริสตจักรที่เรานับถือก็ไม่ได้ดีพร้อม ความรู้สึกสิ้นหวังนี้ก็เริ่มเข้ามาเกาะกุมคุณ ทำให้ชีวิตคริสเตียนของคุณอ่อนแรงแบบดิ่งลงๆ คุณไม่สามารถจะมีชัยชนะได้ ไม่มีใครเลยแม้แต่พวกผู้นำเองที่จะมีชัยชนะ เรากำลังต่อสู้กับสงครามที่รู้อยู่ว่าจะพ่ายแพ้
ทางออกจะมีไหม ผมเคยเจอคริสเตียนมากมายที่คิดทางลบยิ่งขึ้นๆ ทุกสิ่งที่พวกเขามองนั้นมีแต่สิ้นหวัง พวกเขากำลังใกล้ที่จะล้มลง แต่เมื่อคุณอ่านจดหมายของเปาโลคุณเห็นว่าเปาโลคิดอย่างนั้นไหม ที่เปาโลไม่ได้คิดอย่างนั้นก็เพราะว่าเขาไม่ได้คิดเหมือนกับคุณและผม เปาโลมีชัยชนะอย่างแท้จริงแต่เขาไม่ได้เป็นซุปเปอร์แมน
แนวคิดในแบบซุปเปอร์แมนนี้มาจากไหน
ผมจะอธิบายทีหลังว่าคำกล่าวสุดท้ายนี้ผมหมายถึงอะไร แต่ให้เราดูแนวคิดในแบบ “ซุปเปอร์แมน” นี้ และเข้าใจลักษณะที่แท้จริงของฝ่ายวิญญาณที่แท้เสียก่อน เราต้องพยายามเข้าใจว่าความเข้าใจผิดๆ ในแบบซุปเปอร์แมนนั้นมาจากไหน เพราะถ้าคุณเริ่มด้วยแนวคิดในแบบซุปเปอร์แมนคุณก็จะไม่เข้าใจประเด็น และจะทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง
แนวคิดในเรื่องนี้มาจากนักปรัชญาชาวเยอรมันที่ชื่อเฟรเดอริก นิทช์[2] คนๆนี้เป็นนักปรัชญาที่ต่อต้านคริสเตียน แม้พ่อของเขาจะเป็นศิษยาภิบาลแต่เขาก็ต่อต้านทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคริสเตียน มันเป็นเรื่องไม่ปกติที่คนจากครอบครัวคริสเตียนจะหันมาต่อต้านคริสเตียนเพราะแบบอย่างของคริสเตียนที่เขาเห็นจากในบ้าน นิทช์เป็นคนฉลาดมากแต่ใจของเขาฝังอยู่กับความคิดต่อต้านพระเจ้า เขาได้เขียนหนังสือหลายเล่มและมีเล่มหนึ่งชื่อ “ปฏิปักษ์กับพระคริสต์” ที่เขาประกาศว่าตัวเขาเองเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์ เขาต่อต้านพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าที่ให้เขาเข้าใจนั้นเป็นแบบผิดๆ แต่จากการที่ต่อต้านพระเจ้า ชีวิตของเขาจึงว่างเปล่าไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่ออะไร ชีวิตไม่มีความหมาย การปฏิเสธข่าวประเสริฐก็เป็นการปฏิเสธจุดเริ่มต้นของความหวัง ไม่มีอะไรที่นิรันดร์ ทุกสิ่งไม่มีอะไรที่ยั่งยืน นิทช์เสียสติเมื่ออายุ 45 ปี และเสียชีวิต 11 ปีต่อมาในปี 1900
ซุปเปอร์แมน – การยกย่องมนุษย์เอง
ด้วยเหตุนั้น นิทช์ได้พัฒนาแนวคิดในแบบซุปเปอร์แมน แนวคิดของเขามีว่ามนุษย์สามารถจะพัฒนาขึ้นเป็นยอดมนุษย์ อย่างน้อยก็มีบางคนเป็นได้ ความหวังของเขาก็คือการพัฒนามนุษย์ไปถึงระดับสูงสุดของความสำเร็จ มนุษย์สามารถช่วยตัวเองได้ด้วยการพัฒนาตนเอง พวกเราบางคนสามารถพัฒนาให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอดสุด นี่แหละเป็นต้นความคิดของการเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอดสุดที่พวกนาซีเอามาใช้
เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองเราได้เห็นจากการ์ตูนที่เขียนล้อเลียนว่า ความใฝ่ฝันของนาซีที่จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอดสุดนั้นล่มสลาย มนุษย์ก็ยังพยายามที่จะไว้ใจในตัวเอง แต่ว่าเราจะสามารถไว้ใจใครได้ล่ะ
ไม่นานมานี้ผมได้ยินเรื่องของชายคนหนึ่งในประเทศจีนเป็นแฟนพันธุ์แท้ผู้บูชาเมาเซตุง[3] เขาสะสมรูปเมาเซตุงทุกๆแบบ มีตั้งแต่หนังสือ ตรา เข็ม หรือแม้แต่รูปปั้น เขามีเป้าหมายที่จะสะสมให้ได้ถึง 25,000 ชิ้น ในห้องของเขาก็มีรูปปั้นขนาดมหึมาของเมาเซตุง เขาจุดธูปบูชารูปนั้นทุกๆวัน ทำไมเขาจึงทำอย่างนั้น คำตอบก็คือ เพราะว่าเมาเซตุงเป็นซุปเปอร์แมนของเขานั่นเอง
เนื่องจากว่าไม่มีมนุษย์ที่เคยมีชีวิตอยู่คนไหนจะตรงกับภาพลักษณ์ของซุปเปอร์แมน ผู้เขียนการ์ตูนก็เลยจินตนาการณ์ขึ้นมา ให้เป็นคนที่หล่อเหลา มีผมหยิกหยักศก รูปร่างกำยำหน้าอกกว้าง มีผ้าคลุมหลังสีน้ำเงินผูกรอบคอเพื่อช่วยให้บินในอากาศได้ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เราจะทำได้ในความฝันเท่านั้น คุณเคยบินในความฝันไหม เราเคยบินในความฝันของเราแน่ๆ เพราะถ้าคุณเป็นซุปเปอร์แมนในชีวิตจริงไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นได้ในความฝัน
ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าทำไมเราจึงใช้ความคิดแบบ “ซุปเปอร์แมน” ไม่ได้ในชีวิตคริสเตียน เพราะมันคือการยกย่องมนุษย์ เป็นการยกย่องกำลังความสามารถของมนุษย์ที่สลัดพระเจ้าทิ้งอย่างสิ้นเชิง ในภาพการ์ตูนนั้นซุปเปอร์แมนสามารถคว่ำจรวดได้ นี่หมายความว่าอย่างไร มันก็หมายความว่ามนุษย์สามารถแก้ไขปัญหาของตัวเขาเองได้และไม่ต้องการพระเจ้า สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียวก็คือการพัฒนาให้สูงขึ้นไปแล้วมนุษย์ก็สามารถทำสิ่งใดก็ได้ แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เลย เราจะเห็นสิ่งเดียวกันนี้ได้ในปฐมกาล เราเห็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเรียกว่าบรรดาบุตรของพระเจ้า เราได้อ่านเรื่องที่มนุษย์สามารถสร้างหอบาเบลขึ้นสูงเทียมฟ้าได้สำเร็จ มนุษย์กำลังจะสร้างทางของเขาขึ้นไปสวรรค์ เขาอยากจะนั่งที่พระบัลลังก์ของพระเจ้า
ความสำเร็จของมนุษย์นั้นน่าคิดมาก เขาสามารถส่งจรวดขึ้นไปได้และเขาต้องการจะไปให้ถึงสวรรค์ ผมได้อ่านรายงานเรื่องกล้องส่องทางไกลอันใหม่ซึ่งใหญ่กว่าในฮาวายเพื่อจะช่วยให้มนุษย์มองเห็นได้ไกลเข้าไปในจักรวาล ยิ่งมนุษย์รู้เรื่องจักรวาลมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ว่ามนุษย์เล็กและกระจิดริดมากแค่ไหน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สุดของมนุษย์ในการส่งยานอวกาศนั้นไม่ได้ไปไกลนักในแง่ของความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลนี้
ความเชื่อที่ผิดๆในการเป็นซุปเปอร์แมนฝ่ายวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้ความคิดทั้งหมดในการยกย่องความสำเร็จของมนุษย์นี่แหละคือประเด็นของซุปเปอร์แมน การใช้แนวคิดในแบบซุปเปอร์แมนกับชีวิตคริสเตียนนั้นเป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ที่น่าเศร้าใจก็คือความคิดในแบบนี้ยังคงติดอยู่ในคริสตจักร เรายังคงเห็นแนวคิดที่พัฒนาตัวเองด้วยการมุ่งให้ถึงความสำเร็จในการเป็นซุปเปอร์แมนฝ่ายวิญญาณ เราถูกปลูกฝังด้วยระบบการศึกษาในปัจจุบันให้เชื่อแนวคิดที่มุ่งพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมเราจึงต้องเรียนอย่างมากมายก่ายกอง ก็เพื่อพัฒนาตัวเอง คุณเรียนก็เพื่อจะได้ไปต่ออีกระดับหนึ่ง ปริญญาหนึ่งไปอีกปริญญาหนึ่ง เราเรียนเพื่อจะพัฒนาความจำและความจดจ่อของเรา เรายังสามารถหายา “ให้สมองมีพลัง” ได้ด้วย เรากำลังจะทำให้ตัวเองดีขึ้นด้วยความเพียรพยายามทั้งหมดนี้
เมื่อเรามาคริสตจักร เราก็ทำอย่างเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ ทำไมคุณจึงศึกษาพระคัมภีร์ คุณบอกว่า “ผมอยากรู้น้ำพระทัยพระเจ้า” เพื่อจะรู้น้ำพระทัยพระเจ้านั้นเป็นแค่ส่วนน้อย แต่เหตุผลจริงๆ ก็เพื่อต้องการพัฒนาความเข้าใจพระคัมภีร์ใช่ไหม มันดีมากเลยใช่ไหมเมื่อมีคนถามในกลุ่มเรียนพระคัมภีร์แล้วคุณก็ได้เปิดพระคัมภีร์ให้พวกเขาดูและคุณก็สามารถเปิดตาของพวกเขา เมื่อพวกเขามองคุณพวกเขาจะชื่นชมความเข้าใจพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้งของคุณ คุณก็คงจะไม่บอกหรอกว่าคุณทำเพราะอยากให้คนประทับใจคุณ คุณคงจะพูดว่าคุณอยากรู้น้ำพระทัยพระเจ้า แต่เมื่อคุณรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว แล้วทำไมชีวิตคริสเตียนของคุณจึงไม่มีชัยชนะ
แล้วเรื่องการอธิษฐานล่ะ นี่น่าจะเป็นเรื่องของคนฝ่ายวิญญาณเอามากๆ แต่จริงๆแล้วอาจไม่ได้เป็นคนฝ่ายวิญญาณขนาดนั้น เราอาจสามารถอธิษฐานแบบให้เหมือนอย่างกับเข้าฌานที่ไม่มีอะไรจะรบกวนได้ เราสามารถตั้งสมาธิกับความคิดของเราและพัฒนาจิตใจของเราได้ มันสามารถช่วยเราให้ใจของเราสามารถที่จะจดจ่ออยู่ได้ การให้ใจและจิตวิญญาณมีสมาธิเงียบๆสักสิบนาทีก็เป็นสิ่งดี เราได้รับแนวคิดของการพัฒนาตัวเอง ถ้าคุณมีเหตุผลในการศึกษาพระคัมภีร์และการอธิษฐานเพื่อการพัฒนาตัวเองอยู่ละก็ คุณก็ยังไม่เข้าใจประเด็นและคุณก็จะไม่ก้าวหน้าขึ้นฝ่ายวิญญาณในชีวิตคริสเตียน
การอบรมสาวกจะทำให้เราเป็นซุปเปอร์แมนไหม
คุณอาจถามว่า แล้วเรื่องการอบรมสาวกล่ะ การได้อบรมสาวกในระดับต่างๆนั้น คุณจะสามารถก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณได้และสามารถจะมีชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะได้แน่ๆ เมื่อคุณอบรมพื้นฐานเสร็จและคุณก็ยังคงต่อสู้อยู่เพื่อจะดำเนินชีวิตให้มีชัยชนะ และคุณจะคอยการอบรมระดับต่อไปว่าจะเป็นคำตอบ การอบรมนี้จะนำพาคุณไปสู่การเป็นซุปเปอร์แมนเป็นแน่ การเป็นคนฝ่ายวิญญาณที่แท้นั้นตอนนี้ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
การอบรมทั้งหมดนี้ช่วยได้จริงๆไหม คุณเห็นว่าคุณกำลังดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะไหม คุณได้พบไหมว่าหลังจากที่คุณอบรมมาบ้างคุณก็บรรลุเป้าหมายในชีวิตแบบซุปเปอร์แมนทันที ในความเป็นจริงนั้นคุณเริ่มจะรู้ตัวว่าคุณอยู่แค่ครึ่งทางของการซุปเปอร์แมนเท่านั้นเอง และคุณต้องถ่อมใจลง และถึงแม้ว่าเมื่อคุณมาถึงครึ่งทางของการเป็นซุปเปอร์แมนแล้ว มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะถ่อมใจต่อไปอีก แต่คุณก็ยังอยากจะพยายาม ฉะนั้นเราจึงมีคนดีมากมายในคริสตจักรที่พยายามจะเข้าใจวิธีการที่จะถ่อมใจมากยิ่งขึ้น พละกำลังทั้งหมดก็ถูกใช้ไปกับการต่อสู้ที่จะถ่อมใจลง
คุณก็ยิ่งผิดหวังว่า “อบรมการเป็นสาวกก็ทำมาทั้งหมดแล้ว เมื่อไรผมจะดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะได้เสียที ถ้าการอบรมต่อไปอีกเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีชัยชนะได้ละก็ ผมไม่รู้ว่าจะได้ไปถึงขั้นนั้นไหม ชีวิตคริสเตียนนี้ดำเนินยากจัง”
ผมขอบอกคุณว่า ถ้าคุณเข้ารับการอบรมการเป็นสาวกทั้งหมดนี้ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะได้ก้าวหน้าขึ้นด้วยความคิดที่จะเป็นซุปเปอร์แมนละก็ คุณมาผิดทางแล้ว และที่แย่ไปกว่านั้น การอบรมเหล่านี้จะกลายเป็นอันตรายกับคุณ ที่จริงมันเป็นอันตรายถ้าคุณเข้ามาด้วยแรงจูงใจที่ผิดๆ ผมเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก การอบรมมีประโยชน์ แต่สิ่งที่มีประโยชน์ทุกสิ่งสามารถนำไปใช้อย่างผิดๆได้ นี่แหละคืออันตราย
เนื้อแท้ของความเป็นคนฝ่ายวิญญาณ
แล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไป เราจะต้องเข้าใจเนื้อแท้ที่เปาโลกำลังบอกกับเรา ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนี้เราก็จะไม่สามารถดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะได้ คุณจะต้องกลับไปคิดไตร่ตรอง 2 โครินธ์ 12:10 ให้ดีๆ “เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” เปาโลไม่เคยประกาศตัวว่าเป็นยอดมนุษย์ซุปเปอร์แมน ที่จริงเขาไม่เคยเป็นยอดมนุษย์ซุปเปอร์แมน ที่น่าตะลึงก็คือสิ่งที่เปาโลพูดต่อใน 2 โครินธ์ 13:4 (“เป็นความจริงที่ว่า พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขนในความอ่อนแอ”)[4] ที่บอกว่าแม้พระคริสต์เองก็ไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ซึ่งใช้ถ้อยคำอีกอย่างได้ว่า “พระเยซูทรงถูกตรึงในขณะที่ทรงอ่อนแอ” ในพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูไม่เคยสำแดงพระองค์ว่าทรงเป็นซุปเปอร์แมน ตลอดทั้งพระกิตติคุณยอห์นนั้นพระเยซูไม่เคยทำอะไรด้วยกำลังของพระองค์เอง เมื่อคุณไม่ได้ทำสิ่งต่างๆด้วยกำลังของตัวคุณเองก็หมายความว่าตัวคุณไม่มีอะไรเลย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของคุณ
ถ้าคุณไม่ได้เข้าใจอย่างนี้คุณก็ไม่ได้เข้าใจชีวิตคริสเตียนเลย อย่าได้คิดเลยว่าสักวันหนึ่งคุณจะสามารถไปถึงระดับที่คุณจะทำทุกสิ่งได้ด้วยพลังของซุปเปอร์แมน เพราะเมื่อคุณถึงระดับนั้นคุณก็ไม่ต้องการพระเจ้าต่อไปอีกแล้ว แต่ตราบใดที่คุณพึ่งพระเจ้าอย่างทั้งหมดมันก็หมายความว่าคุณเป็นคนอ่อนแอเสมอ
คุณเห็นอันตรายของความคิดในแบบซุปเปอร์แมนหรือยัง คุณต้องเข้าใจให้ดี คุณจะต้องไม่วาดฝันว่าคุณสามารถจะไปถึงขั้นที่มีกำลังมากจนคุณสามารถดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วยตัวของคุณเองได้ คุณอย่าได้คิดว่าชีวิตคริสเตียนของคุณจะเหมือนกับแบตเตอรี่ที่ต้องชาร์จไฟด้วยการอบรมต่างๆ ด้วยการศึกษาพระคัมภีร์ และการอธิษฐาน คุณให้ระดับของการชาร์จสูงขึ้นๆ เพื่อหลังจากการอธิษฐานและการศึกษาพระคัมภีร์เสร็จคุณจะได้ออกไปใช้แรงได้นานจากการชาร์จแบตเตอรี่นั้น แล้วคุณจะกลับมาหาพระเจ้าเพื่อรับการชาร์จใหม่ก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกว่าแรงชาร์จแบตเตอรี่กำลังจะหมด มันไม่ใช่วิธีการเช่นนี้เลย เพราะจะไม่มีเวลาใดเลยในชีวิตของเราที่ไม่ต้องดำเนินในความอ่อนแอของเรา และไม่ต้องรับกำลังจากพระองค์อยู่ทุกขณะ
การเป็นคริสเตียนแบบที่แตกต่าง - อวดในความอ่อนแอ
สิ่งที่เปาโลกำลังพูดก็คือ “เพราะว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” นั่นหมายความว่าเมื่อใดถ้าคุณอยากจะเข็มแข็ง คุณก็จะต้องอ่อนแอ” นี่เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องเข้าใจ สองส่วนของประโยคนี้จะแยกออกจากกันไม่ได้เลย ถ้าคุณรู้สึกอ่อนแอนั่นก็เป็นเวลาที่จะขอบคุณพระเจ้า นี่แหละคือสิ่งที่เปาโลกำลังอวดอยู่
ร่างกายของคุณเจ็บปวดเหมือนกับผมไหม เปาโลกำลังพูดถึงหนามในเนื้อของเขา คุณลองเอาหนามทิ่มตัวคุณเองดูสิแล้วจะรู้ว่ารู้สึกอย่างไร นี่เป็นภาพของความปวดร้าวในเนื้อตัว นักวิชาการพระคัมภีร์มากมายได้พยายามที่จะเข้าใจ แต่ไม่มีใครพูดได้อย่างแน่ชัด ถ้าคุณยังบ่นกับพระเจ้าเรื่อยๆว่าทำไมร่างกายคุณจึงเจ็บปวดอย่างนี้ นั่นก็แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจเคล็ดลับของชีวิตคริสเตียน ว่าในความอ่อนแอนั้นฤทธานุภาพของพระเจ้าจะสำแดงในคุณ ในพระคัมภีร์ตอนนั้นเปาโลอวดถึงความเจ็บปวดทรมานนี้ นี่เป็นคริสเตียนแบบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
เมื่อคุณมีความจำเป็นต้องการ นั่นแหละคือโอกาสที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์กับคุณและผ่านคุณไปถึงคนอื่น ทุกคนคงจะรู้จักจอนนี่นักกีฬาสาวสวย กระดูกต้นคอของเธอหักจนต้องเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอลงไป เธออายุยังน้อยมากและจะต้องนั่งในรถเข็นไปตลอดชีวิต ทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่คนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนได้รับพระพรผ่านชีวิตของเธอ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นหรือ ก็เป็นเพราะฤทธานุภาพของพระเจ้าได้สำแดงในความอ่อนแอของเธอนั่นเอง
เราเผชิญปัญหาของเราเองอย่างไร
ตามธรรมดาแล้วเมื่อคุณมีปัญหาสุขภาพก็จะรู้สึกแย่เอามาก ๆ ผมเองรู้สึกเจ็บหลังมากปวดร้าวจนทำให้อ่อนกำลัง สังเกตคำว่า “อ่อนกำลัง” ความเจ็บป่วยและความเจ็บปวดทุกชนิดมีผลทำให้เราอ่อนกำลังลง พระเจ้าจะให้เปาโลมีความเข้มแข็งได้นั้นพระองค์จะต้องทำให้เปาโลอ่อนกำลังก่อนด้วยความเจ็บปวดจากหนามที่ทิ่มแทงในเนื้อ คุณเข้าใจหลักการนี้ไหม บางทีเราอาจจะยังไม่ได้อยู่ในระดับที่พระเจ้าจะให้หนามในเนื้อของเรา เราแทบไม่สามารถจะรับกับปัญหาเล็กน้อยที่เจออยู่ทุกๆวันได้ คุณภาพชีวิตคริสเตียนของเราจะเห็นได้จากการที่เราเผชิญปัญหาของเรา
คุณเคยฟังเรื่องของ “เทพธิดาแห่งห้องมืด”[5] ไหม เธอเป็นโรคที่แพ้แสงอย่างแรงจนเธอต้องอยู่แต่ในห้องมืดๆ ตลอดวันตลอดคืน ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าทีเดียว! เธอใช้ชีวิตที่มีแต่ยามค่ำคืนสำหรับเธอ เห็นอีกแล้วว่าด้วยความอ่อนแอของเธอนี้ ฤทธานุภาพของพระเจ้าได้ถูกสำแดงออกไปและคนเป็นล้านๆได้รับพระพรจากชีวิตของเธอ
ความอ่อนแอของเราเป็นโอกาสของพระเจ้า
ความอ่อนแอของเราเป็นโอกาสของพระเจ้าที่จะทรงสำแดงฤทธานุภาพที่เกินธรรมดาในชีวิตของคุณ นี่คือรัศมีของคริสเตียน มันไม่ใช่ว่าคุณจะไม่มีปัญหาแต่ว่าในทุกๆ ปัญหานั้นมีพลังที่จะเอาชนะแม้แต่กระดูกคอหักหรือเป็นอัมพาต มีที่ไหนอีกหรือที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ในชีวิตของเราได้ คุณคิดว่าพระสิริของพระเจ้าถูกสำแดงในผมเพราะว่าผมขับรถเบนซ์ไปโน่นไปนี่หรือ ผมไม่จำเป็นต้องมาเป็นคริสเตียนเพื่อจะขับรถเบนซ์ แต่ผมต้องเป็นคริสเตียนที่ถวายพระสิริแด่พระเจ้า ให้ฤทธานุภาพของพระองค์สำแดงในผมด้วยหนามในเนื้อ ผมไม่ต้องการฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะอาศัยอยู่ในบ้านหลังงามใหญ่โต แต่ผมต้องการฤทธานุภาพของพระเจ้าเมื่อผมไม่มีที่ๆจะอาศัยเพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐ
ความอ่อนแอนั้นเป็นพระพร
ประสบการณ์เมื่อผมเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ ผมเห็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ทรงสำแดงในชีวิตของอาจารย์หยาง เขามีเคล็ดลับของอัครทูตเปาโลในชีวิตคริสเตียนของเขา เขายอมรับความแร้นแค้นเพราะสั่งสอนข่าวประเสริฐ มันเป็นสิ่งที่เขามีความสุขและชื่นชมยินดี ผมได้พักอยู่กับเขาหลายเดือนอย่างที่ได้เคยแบ่งปันมาก่อน คุณคิดว่าผมได้เรียนรู้อะไรจากเขามากที่สุด ไม่ใช่เรียนเรียนรู้วิธีการอ่านพระคัมภีร์ หรือวิธีการอธิษฐานหลายๆชั่วโมง แต่จากวิธีรับกับปัญหาและความยากลำบากต่างๆเหล่านั้นต่างหาก ที่ผมได้เรียนรู้ว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นอย่างไร เราทั้งสองคนไม่มีเงินเลย บางครั้งเราก็มีแต่ปลาตัวนิดเดียวที่ต้องแบ่งกันกิน ไม่มีเงินจะซื้อผัก มีพอแค่ซื้อข้าว ผมจดจำได้ดีที่เขาขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้าสำหรับปลาตัวเล็กๆ เขาถูกตำรวจลับตามจับอย่างไม่หยุดหย่อนในเซี่ยงไฮ้ ความยินดีในพระเจ้าในการเผชิญกับทุกปัญหาของเขานั่นแหละที่ ผมได้เห็นพระสิริของพระเจ้า คุณเข้าใจเคล็ดลับนี้ไหม
เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์” (กาลาเทีย 2:20) ไม่ใช่ “ข้าพเจ้าเคย” แต่ “ข้าพเจ้าถูกตรึงอยู่ขณะนี้” การถูกตรึงนั้นถือว่าผู้นั้นเป็นอาชญากร มันยังหมายถึงความทุกข์ทรมานและความตายด้วย การถูกตรึงบนกางเขนเป็นเครื่องหมายของความอ่อนแออย่างสุดๆ เรื่องนี้แหละที่เปาโลเห็นว่าเป็นจุดสำคัญของชีวิตเขา เพราะสิ่งนี้แหละที่เขาอยู่ในสามัคคีธรรมกับพระคริสต์ คุณเองล่ะคุณมีประสบการณ์แบบนี้กับพระคริสต์ไหม
ในคำเทศนาบนภูเขา (มัทธิว 5:3-12) เราจะเห็นว่าความสุขของทุกๆข้อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความอ่อนแอ “ความสุขมีแก่คนที่ยากจน” คนยากจนขัดสนนั้นอ่อนแอ “ความสุขมีแก่คนที่มีใจอ่อนโยน” คนมีใจอ่อนโยนนั้นอ่อนแอ “ความสุขมีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหง” พวกเขาถูกข่มเหงเพราะพวกเขาไม่ต่อสู้ นั่นเป็นการเริ่มคำสอนของพระเยซู พระองค์กำลังพยายามที่จะเน้นย้ำความเข้าใจที่เชื่องช้าและน้อยนิดของเราว่าเคล็ดลับทั้งหมดของชีวิตคริสเตียนก็คือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอ่อนแอ ที่ฤทธานุภาพของพระองค์จะสำแดงผ่านทางความอ่อนแอเท่านั้น
ดาวิดได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงชอบพระทัย(กิจการ 13:22) เป็นเพราะว่าเขาเป็นซุปเปอร์แมนใช่ไหม แต่ตรงกันข้ามกันเลย เขาเป็นคนที่ซาบซึ้งใจอย่างมากกับความจริงว่าพระเจ้าทรงรักและดำเนินอยู่กับคนยากจน คนใจถ่อม และคนที่อ่อนแอ และเขาเขียนว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลาย และทรงช่วยผู้สิ้นหวัง (ใจที่สำนึกผิด)” (สดุดี 34:18) อันที่จริงคำเทศนาบนภูเขา “ความสุขมีแก่คนที่ใจอ่อนโยน” นั้นเอามาจากถ้อยคำของดาวิดในสดุดี 37:11 “แต่คนที่ใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดิน(หรือโลก)เป็นมรดก”
คุณมีเพียงพอแล้วคุณจึงไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า
ผมได้มีประสบการณ์ความอัศจรรย์ของพระเจ้าในชีวิตของผมเอง คุณได้เห็นจากในคำพยานของผม ผมได้พบกับฤทธานุภาพมากมายของพระเจ้าที่ได้สำแดงในชีวิตของผม แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือผมไม่ค่อยจะได้ยินคนอื่นๆแบ่งปันเรื่องแบบเดียวกันนี้ ผมสงสัยว่าทำไมพวกคุณจึงไม่เคยเจอกับความอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทำ นั่นเป็นเพราะว่าผมเป็นซุปเปอร์แมนแต่คุณไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ผมไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย นั่นแหละที่ทำไมพระเจ้าจึงทรงทำงานในชีวิตผม เป็นเพราะว่าในความอ่อนแอและความขาดแคลนของผมนั้นพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์เองกับผม
ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณเองนั้น “ดียิ่งกว่า”ผม คุณไม่มีความขาดแคลนที่ผมมี นั่นเป็นเหตุที่คุณไม่มีประสบการณ์กับพระเจ้า นี่แหละที่ผมจึงสงสารพวกคุณ พวกคุณสมบูรณ์พูนสุขเกินไป ผมไม่ได้บอกว่าคุณร่ำรวย แต่คุณมีทุกอย่างเพียงพอในชีวิต คุณจึงไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์กับการทรงจัดเตรียมให้ของพระเจ้า
ในเซี่ยงไฮ้นี่แหละที่ผมไม่มีอะไรจะกินเลย พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งอัศจรรย์กับผม พระเจ้าไม่ได้ให้ผมอดอยาก ถึงแม้พระองค์จะให้ผมอดอยากผมก็จะยอมรับสิ่งนั้นด้วย แต่พระองค์ไม่ได้ให้ผมต้องอดอยาก ผมได้พบกับการอัศจรรย์อันน่าอัศจรรย์ใจที่พระองค์ทรงเพิ่มพูนอาหารให้ผม ผมได้แบ่งปันเรื่องนี้ในคำพยานชีวิตของผม
พระเจ้าเป็นจริงอย่างนั้นกับคุณไหม
นี่เองผมจึงพูดว่าน่าเสียดายจริงๆ เพราะคุณสมบูรณ์พูนสุขเกินไป คุณแข็งแรงดีมาก พวกคุณมีหนังสือเดินทางและมีสิทธิเป็นพลเมืองแล้ว พระเจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยคุณเลย ลองมองชีวิตของคุณแล้วถามตัวเองว่า เรามีความยากจนและความขาดแคลนที่ไหนบ้าง ความสุขมีแก่คนที่ยากจน พวกเขาแร้นแค้นอ่อนแอและพระเจ้าจะทรงเข้ามาก้าวก่าย ถ้าความขาดแคลนของคุณมีเพียงอย่างเดียวคือด้านจิตใจ สิ่งที่คุณต้องการก็คือการปลอบใจ ถ้าต้องการเพียงแค่นั้นก็ให้ตาจ่อกับทีวีที่ให้ความบันเทิงใจก็จะช่วยแก้ปัญหาของคุณได้ ถ้าคุณมีปัญหาทางจิตใจ คุณก็จะมองหาคำตอบทางใจ คุณจะไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าทรงเป็นจริงอย่างนั้นไหม เมื่อผมบอกประสบการณ์ที่ผมมีกับคุณ คุณอาจจะพูดว่าเรื่องของผมนั้นเป็นกรณีพิเศษ หรืออาจพูดยิ่งกว่านั้นว่าผมพูดเกินความจริง มันยากที่จะเชื่อเรื่องเหล่านี้ถ้าคุณไม่ได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง เรื่องที่ผมเล่านั้นไม่เหมือนกับเห็นเองด้วยตา เมื่อคุณอยู่ในเหตุการณ์จริงมันจะน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการมาเล่าให้ฟังมาก คุณลองนึกถึงความรู้สึกเมื่อคุณมองดูหม้อที่อาหารควรใกล้หมด แต่กลับเป็นว่าอาหารยังอยู่อย่างเดิม คุณลองนึกถึงความรู้สึกตอนที่คุณตักอาหารออกจากหม้อแล้วยังเห็นอาหารเหลืออยู่เท่าเดิมเหมือนตอนก่อนตัก มันน่าอัศจรรย์เมื่อคุณมีประสบการณ์ด้วยตัวคุณเอง
คุณอยากจะมีประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะอย่างของเปาโลไหม คุณอยากจะมีกำลังฝ่ายวิญญาณที่จะดำเนินชีวิตคริสเตียนของคุณอย่างของเปาโลไหม พระเจ้าของเราเป็นอย่างนั้นจริงกับคุณไหม
ความสุขมีแก่คนยากจนและอ่อนแอ เพราะว่าพระเจ้าจะทรงสำแดงพระองค์กับพวกเขา คุณพร้อมไหมที่จะเป็นคนยากจนและคนอ่อนแอเพื่อจะได้มีประสบการณ์ที่มีชัยชนะแบบเดียวกับเปาโล
[1] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
[2] Friedrich Nietzsche
[3] หรือ เหมา เจ๋อ ตุง
[4] ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
[5] "Queen of the Dark Chambers"
(c) 2021 Christian Disciples Church